วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อำเภอพรานกระต่าย


วัดไตรภูมิ (Wat Trai Phum)
 
ตั้งอยู่เลขที่ 1หมู่ที่ 12 ตำบลถ้ำกระต่ายทอง อำเภอพรานกระต่าย แยกจากถนนกำแพงเพชร - สุโขทัย 1 กิโลเมตร วัดไตรภูมิสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัย จากหลักฐานภายในวัดมีพระพุทธรูปเนื้อสัมฤทธิ์สมัยสุโขทัย ประดิษฐานบนฐานชุกชี ภายในวิหาร (ปัจจุบันได้บูรณะใหม่ทั้งวิหารและหลวงพ่อสัมฤทธิ์) มีวัดโพธาราม (ปัจจุบันเป็นวัดร้าง) ซึ่งสร้างในสมัยเดียวกัน อยู่ด้านทิศเหนือ โดยมีลำคลองกั้นระหว่างกลาง วัดไตรภูมิชาวบ้านสมัยก่อน เรียกว่า "วัดใต้" ส่วนวัดโพธาราม เรียกว่า "วัดเหนือ" เมื่อชุมชนพรานกระต่ายเสื่อมลงราวปลายกรุงสุโขทัย วัดไตรภูมิจึงได้กลายเป็นวัดร้างไปด้วย เป็นระยะเวลาประมาณ 300-400 ปี เมื่อชุมชนพรานกระต่ายเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ราวต้นกรุงรัตนโกสินทร์ประมาณ พ.ศ.2380 ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันบูรณะวัดไตรภูมิให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน
 
            ประวัติความเป็นมาของวัดไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ ที่พอจะให้สืบค้นได้ จึงไม่อาจทราบได้ว่าใครเป็นผู้สร้าง, สร้างขึ้นในสมัยใด ข้อมูลได้จากการสันนิษฐานประกอบกับคำบอกเล่าที่บอกสืบต่อกันมาเท่านั้น ดังนั้นจึงสันนิษฐานกันว่าวัดไตรภูมิน่าจะสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี แต่จะเป็นปีใดนั้นไม่อาจจะประมาณได้ ที่สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยนั้น ก็เพราะมี หลักฐานปรากฏอยู่ คือวิหารที่อยู่ภายในวัดซึ่งตั้งคู่กับอุโบสถ อาคารวิหารนั้นสร้างขึ้นใหม่แน่นอน เพราะที่หลังคามีปี พ.ศ. ที่สร้างปรากฏเป็นหลักฐาน อยู่ว่าสร้างในปี พ.ศ.2498
 
           ส่วนภายในวิหารนั้นมีพระพุทธรูปโลหะประเภทเนื้อสัมฤทธิ์อยู่องค์หนึ่ง หน้าตักประมาณวาเศษ ประทับ อยู่บนฐานชุกชี ซึ่งก่อด้วยศิลาแลง ลักษณะเช่นเดียวกับแท่นพระพุทธรูปที่พบเห็นได้ทั่วไปใน เมืองเก่ายุคสุโขทัย ทั้งที่เมืองสุโขทัย และที่เมืองกำแพงเพชรเอง ลักษณะของพระพุทธรูปและฐานชุกชี ล้วนเป็นของเก่า เพราะฉะนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่า วัดไตรภูมินี้เป็นวัดเก่าสมัยสุโขทัย เป็นวัดร้างมาในสมัยหนึ่ง อาจจะตั้งแต่ ปลายสมัยกรุงสุโขทัยลงมาจนถึงต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รวมระยะเวลาไม่น้อยกว่า  300-400 ปี ที่สันนิษฐานดังกล่าว มีเหตุผลหลายประการ คือ สมัยกรุงสุโขทัยนั้นนิยมสร้างวัดกันมาก เมื่อสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง วัดต่างๆ ก็ค่อยๆ ร้างไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวัดใน ตัวเมืองหลวง หรือตามหัวเมืองต่างๆ และยังมีวัดร้างอีกแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกของวัดไตรภูมิ ห่างออกไปประมาณ 800 เมตร บริเวณวัดร้างแห่งนี้เดิมที มีหอน้ำ ซึ่งกรุด้วยศิลาแลง มีซากเจดีย์ศิลาแลง และมีต้นมะม่วงใหญ่ๆ ปกคลุมอยู่ ทั้งเป็นเนินดินที่น้ำท่วมไม่ถึง แต่ปัจจุบันกลายเป็นท้องนาไปหมดแล้ว หลักฐานต่างๆ ถูกกลบถูกทำลายไปหมด วัดร้างแห่งนี้ ไม่มีชื่อเรียก แต่ชาวบ้านเรียกว่า "ทุ่งสะปรก" (คงเรียกเพี้ยนมาจากคำว่า "ปรก" ซึ่งเป็นคำเรียกการนั่งสมาธิของพระที่ว่า "นั่งปรก" เพราะสมัยก่อนบริเวณนี้เป็นที่อยู่กรรมฐานของพระ เพิ่งมาหยุดกันเมื่อป่าละเมาะแถวนั้นถูกบุกรุกทำนากัน สาเหตุที่ร้างนั้นคงเป็นเพราะชาวบ้านหนีภัยสงคราม หรือถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่กรุงศรีอยุธยาสมัยสร้างเมืองใหม่ ๆ
 
             วัดไตรภูมิเป็นวัดเก่าแก่ แต่คงร้างมานาน เมื่อมีชุมชนมาตั้งหลักแหล่งมากขึ้น จึงได้ช่วยกันบูรณะวัด ให้เจริญขึ้นมา โดยมีเจ้าอาวาส ปกครองวัดไตรภูมิมาแล้ว 10 รูปทั้งรูปปัจจุบัน ส่วนวัดโพธาราม และ วัดทุ่งสะปรกนั้น ก็คงบูรณะบ้าง แต่คงเกินกำลังมากไป จึงปล่อยให้ร้างอยู่อย่างนั้น โดยชุมชนใช้พื้นที่ดินทางทิศตะวันตก สำหรับสร้างบ้านเมืองมากกว่าทางทิศตะวันออก จึงทำให้ทางทิศตะวันออกเป็นวัดร้างและที่ทำเกษตรกรรมอย่างเดียว เพราะเป็นที่ลุ่ม
            ส่วนชื่อวัดนั้น คงตั้งขึ้นในภายหลังจากสร้างวัดเสร็จ หากว่าเรื่องสร้างวัดข้างต้นเป็นความจริง เพราะคำว่า "ไตรภูมิ" นั้น ในยุคสุโขทัยตอนต้นยังไม่ปรากฏเรียกกัน มารู้จักกันแพร่หลายก็ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท กษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งกรุงสุโขทัย เพราะพระองค์ได้พระราชนิพนธ์หนังสือทางพระพุทธศาสนาไว้เรื่องหนึ่งชื่อเรื่อง "ไตรภูมิพระร่วง" ซึ่งแพร่หลายมา ตราบเท่าทุกวันนี้ ส่วนชื่อเดิมของวัดเมื่อแรกสร้างเสร็จใหม่ๆ ไม่อาจสันนิษฐานได้โดยประการ ทั้งปวง แต่ถ้าหากว่าวัดนี้ได้สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยตอนปลาย ชื่อว่า "วัดไตรภูมิ" คงเป็นชื่อ เดิมมาตั้งแต่แรก เรื่องชื่อวัดนี้มีการสันนิษฐานได้อีกทางหนึ่งว่า เมื่อวัดนี้ได้ร้างไปนาน ใน ภายหลังได้มีผู้คนมาตั้งรกรากทำมาหากินกันมาก กลายเป็นชุมชนใหญ่ขึ้น จึงได้ช่วยกันบูรณะวัดร้าง ขึ้นมาใหม่ เมื่อบูรณะเสร็จ จึงคิดตั้งชื่อวัดใหม่กัน เมื่อมีหลักฐานแน่นอนว่าวัดที่บูรณะกัน ขึ้นมานี้เป็นวัดเก่าสมัยสุโขทัย ประกอบกับมีความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ที่มีปรากฏอยู่ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง จึงได้นำคำว่า "ไตรภูมิ" มาเป็นชื่อวัด เพื่อให้ทราบว่าเป็นคำเก่าครั้งสุโขทัยเป็นเมืองหลวง ทั้งความหมายก็บ่งบอกถึงเรื่องนรกสรรค์ที่ตนเชื่อถือด้วย (ไตร ภูมิ แปลว่าสามภพ หรือสามภูมิ ได้แก่ ภูมิมนุษย์ ภูมิสรรค์ และภูมินรก)
 
             ส่วนวัดร้างอีกวัดหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของวัดไตรภูมินั้น ชาวบ้านก็คง จะบูรณะให้เป็นวัดมีพระสงฆ์เหมือนกัน มีหลักฐานที่เห็นชัดคือ ได้สร้างศาลาเสาไม้มะค่าขนาด ใหญ่ไว้ทำบุญกุศลกันหนึ่งหลัง สร้างกุฏิให้พระอยู่อาศัยตั้งชื่อวัดว่า "วัดโพธาราม" ที่ตั้งชื่อนี้คง เป็นเพราะว่าบริเวณวัดร้างแห่งนี้ มีต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้นงอกงามหลายต้น ทั้งตรง กลางวัดและด้านเหนือวัด (ปัจจุบันตายเกือบหมดแล้ว) เพราะเป็นวัดมีพระสงฆ์ ทางกรมศาสนา (ยุคนั้นเรียก กระทรวงธรรมการ) จึงได้ขึ้นทะเบียนไว้ ต่อมาเมื่อวัดไตรภูมิเจริญมากขึ้น พระสงฆ์วัดโพธาราม คงขาดผู้นำที่สามารถ จึงย้ายตัวเองมาอยู่เสียที่วัดไตรภูมิ ปล่อยให้วัดโพธารามร้างไปอีกครั้งหนึ่ง ส่วนศาลาใหญ่วัดนั้นยังคงอยู่ที่เดิม ทางราชการได้ขอใช้เป็นสถานที่เรียนหนังสือของเด็กๆ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2448 เรียกว่า“โรงเรียนวัดโพธาราม” แต่ถึงกระนั้นก็ตาม วัดไตรภูมิก็ได้ข้ามไปใช้ศาลาหลังใหญ่นี้ในการทำบุญงานใหญ่ๆ ทุกครั้ง เช่น งานเทศน์มหาชาติ งานประจำปี งานตักบาตรเทโว ในภายหลังงานประจำปีได้ย้ายมาจัดที่ วัดไตรภูมิ ในปี พ.ศ. 2518 ได้ย้ายศาลาวัด โพธารามมาปลูกที่บริเวณกุฏิวัดไตรภูมิ เพื่อใช้เป็นศาลาหอฉัน และศาลาการเปรียญ เป็นอันว่า วัดโพธาราม ได้กลายเป็นวัดร้างโดยสมบูรณ์แบบอีกวาระหนึ่ง ประกอบกับเนื้อที่บริเวณรอบๆ วัดถูกบุกรุกเรื่อยมา จนเหลือบริเวณไม่กว้างขวางอย่างเก่าก่อน
เขานางทอง (Khao Nang Thong)
  ตั้งอยู่ในเขต ตำบลเขาคีริต อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร เป็นเขาที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองบางพานและเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ที่สันนิฐานกันว่าพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไทย) ทรงสร้างไว้บนยอดเขา ตามหลักฐานในหลักศิลาจารึกหลักที่ 3 ศิลาจารึกนครชุม ด้านที่ 2 บรรทัดที่ 52 - 57 ปรากฎข้อความดังต่อไปนี้
         " พระยาธรรมมิกราช ให้ไปพิมพ์เอารอยตีน…พระเป็นเจ็งเถิงสิงหล อันเหยียบเหนือจอมเขาสุมนกูฎบรรพต ประมาณเท่าใดเอามาพิมพ์ไว้ จุ่งคนทั้งหลายแท้…อันหนึ่งประดิษฐสถานไว้ในเมืองศรีสัชนา เหนือจอมเขา…อันหนึ่งประดิษฐสถานไว้ในเมืองสุโขทัยเหนือเขาสุมนกูฎ อันหนึ่งประดิษฐสถานไว้ในเมืองบางพานเหนือจอมเขานางทอง "
       บนเขานางทองมีการวางผังของโบราณสถานจะวางตามแนวยาวมีบันไดทางขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ด้านบนสูงสุดเป็นเจดีย์ใหญ่ทรงดอกบัวตูมหรือพุ่มข้าวบิณฑ์ ฐานเจดีย์กว้าง 12 เมตร ก่อด้วยอิฐปนแลง ส่วนบนเป็นศิลาแลง ถัดมาเป็นเจดีย์รายเล็ก 3 องค์ กว้าง 2 เมตรเท่ากันทุกองค์ ถัดมาเป็นวิหาร 4 ตอน ตอนแรกยาว 13 เมตร กว้าง 6 เมตร ตอนที่สองกว้าง 10 เมตรยาว 21 เมตร(ปัจจุบันโบราณสถานเหล่านี้ทรุดโทรมมากแทบจะดูไม่ออกว่าเป็นอะไร) ส่วนด้านท้ายสุดคล้ายที่ตั้งบุษบก เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท (ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ )
           เมื่อไม่นานมานี้บริเวณคลองวังพาน ( อยู่ใกล้กับวัดพานทองศิริมงคล ) ได้มีการขุดลอกคลองโดยเครื่องจักรกลของทางราชการ ได้ขุดพบ พระ เครื่องปั้นดินเผา เศษกระเบื้องตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยภายในครัวเรือนของชาวเมืองโบราณเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญได้พบเสาไม้ตะเคียนซึ่งสันนิษฐานว่าหน้าจะเป็นศาลาที่ประทับของเจ้าผู้ครองนครในอดีต เป็นหลักฐานที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งของเมืองพาน เขานางทองในปัจจุบัน กำลังจะได้รับการบูรณะจากหน่วยงานของทางราชการให้เป็นแหล่งประวัติศาสตร์และการท่องเที่ยว
เหมืองหินอ่อนพรานกระต่าย (Marble Mine Phran Kratai)
  
หินอ่อน ของอำเภอพรานกระต่าย ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วประเทศ ดังมีเรื่องที่ควรกล่าวถึงที่ว่า จังหวัดกำแพงเพชร เป็นจังหวัดหนึ่งที่สามารถผลิต หินอ่อนเพื่อการก่อสร้าง และประดิษฐ์เป็นสิ่งของต่างๆ ได้อย่างมากมาย หินอ่อนที่ผลิตที่อำเภอพรานกระต่ายจังหวัดกำแพงเพชร จัดเป็นหินอ่อนคุณภาพดี สีสันสวยงาม
           แหล่งหินอ่อนที่สำคัญในจังหวัดกำแพงเพชร อยู่ที่อำเภอพรานกระต่าย บริเวณทิวเขา สว่างอารมณ์ เขาเขียว และเขาโทน ในทางธรณีวิทยา จัดว่าหินอ่อนที่เขาสว่างอารมณ์ มีอายุประมาณ 300 – 400 ล้านปี เป็นหินปูนที่ตกผลึกใหม่อาจเรียกว่า หินอ่อนในแง่การค้า เขาสว่างอารมณ์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของตลาดพรานกระต่าย ลักษณะเป็นภูเขายอดแหลม มีผาชันเช่นเช่นเดียวกับหินปูนทั่วไป ประกอบด้วยหินปูนตกผลึกใหม่ โดยทั่วไปมีชั้นหนาสีขาว สีเทาอ่อน สีเทาแก่ปานกลาง ชั้นหินทั้งหมดหนาประมาณ 150 เมตร ในปัจจุบัน รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการทำเหมืองหินอ่อน ในจังหวัดกำแพงเพชร โดยการให้สัมปทาน การทำเหมืองหินอ่อน ในเขตเขาโทน อันเป็นภูเขาลูกหนึ่ง ในทิวเขาสว่าง ให้ประทานบัตร ลงวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2524 มีเนื้อที่สัมปทาน 22 ไร่เศษ หินอ่อนที่เขาโทนมีคุณสมบัติเด่น คือผิวเป็นมัน มีสีเทาและขาว อมชมพู มีวิธีการผลิตโดยเริ่มจาก
      1. ระเบิดปรับหน้าเหมืองหินอ่อน เพื่อเตรียมการทำหินบล็อก
      2. ใช้ลวดตัด หินอ่อนในแนวตั้ง โดยมีน้ำหล่อเลี้ยงขณะตัด
      3. ทำการเคลื่อนหินไปสู่ โรงงานแปรรูป หินอ่อน เพื่อแปรรูปในลักษณะต่างๆ
      4. ชิ้นหินอ่อนที่ผ่านการแปรรูปแล้ว จะถูกลำเลียงไปผ่านเครื่องขัดผิว แล้วนำไปแยกสี ลวดลาย ขนาด ออกเป็นกลุ่มเตรียมไว้สำหรับการจัดส่งตามลูกค้าเสนอ
 
      สำหรับเศษหินอ่อนจากการแปรรูป จะนำไปผลิตเป็นหินเกล็ด เพื่อใช้ทำแผ่นหินขัด ใช้เป็นกระเบื้องปูพื้น เป็นการนำทรัพยากรธรรมชาติ หินอ่อน มาใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด การผลิตหินอ่อนที่อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร จึงเป็นอาชีพเด่นที่สุดอาชีพหนึ่งของจังหวัดกำแพงเพชร ที่นำรายได้มาสู่จังหวัด จำนวนมากหินอ่อนของเรา มีมาตรฐานการผลิต ที่พัฒนาแล้ว ทัดเทียมหรือบางอย่างอาจล้ำหน้าต่างชาติ ผลิตภัณฑ์หินอ่อนที่มีชื่อเสียงของอำเภอพรานกระต่าย จัดเป็นสินค้าของชุมชน อาทิ ช้างแกะสลัก โคมไฟ ที่ทับกระดาษ บาตรพระ แจกัน ศาลเจ้า นาฬิกาตั้งโต๊ะ โต๊ะ เก้าอี้ จานแก้ว ถังแช่ไวน์ และของแต่งบ้านจำนวนมาก มีความละเอียดอ่อนที่สวยงาม ทำชื่อเสียงและรายได้มาสู่จังหวัดกำแพงเพชร จำนวนมาก


อำเภอคลองขลุง


วัดคฤหบดีสงฆ์ (Wat Karuhabodeesong)
   อยู่ที่บ้านท่าพุทรา หมู่ที่ 3 ตำบลท่าพุทรา อำเภอคลองขลุง ห่างจากถนนสายพหลโยธิน ประมาณ 200 เมตร ถ้าเดินทางจากจังหวัดนครสวรรค์ ไปทางเหนือตามถนนพหลโยธิน ทางวัดจะอยู่ทางขวามือ จะมีป้ายบอกทางเข้าบ้านท่าพุทรา ระหว่าง กิโลเมตรที่ 83-84 และ จากจังหวัดกำแพงเพชร ไปทางใต้ตามถนนสายพหลโยธิน ทางเข้าวัดจะอยู่ทางซ้ายมือระหว่างกิโลเมตรที่ 37-38 มีป้ายบอกว่าเข้าบ้านท่าพุทรา
          วัดนี้เป็นเก่าแก่วัดหนึ่งในเขตอำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร คงมีอายุเป็นร้อยปี ทั้งนี้ เพราะมีคนแก่ที่บ้านท่าพุทราเองเล่าให้ฟังว่า เมื่อเกิดมาจำความได้ก็เห็นมีวัดมาแล้วอย่างนี้ ตามที่สันนิษฐานดูแล้ว บ้านท่าพุทราเป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่มาก ตามปกติคนไทยเรานับถือพระพุทธศาสนา มีศาสนาพุทธเป็นที่พึ่งทางจิตใจ เมื่อไปอยู่ที่แห่งใดก็ต้องสร้างวัดขึ้นมา พร้อมกับหมู่บ้านเพื่อเป็นที่ทำบุญ และเพื่อเป็นที่ประกอบการกุศลอื่น ๆ อีก เช่น บวชลูกหลานเป็นต้น เพราะคนไทยถือว่า ถ้าเป็นผู้ชายเมื่ออายุครบ  20 ปี บริบูรณ์  จะต้องบวชพระกันทุกคน ถ้าไม่บวชเรียกว่าคนดิบ ฉะนั้น วัดท่าพุทรานี้ก็คงจะสร้างขึ้นมาพร้อมกับบ้านท่าพุทรา ถึงจะหลังบ้างก็คงไม่กี่ปี แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่มีใครทราบแน่นอนว่าสร้างกันขึ้นมาแต่เมื่อไร ต่อมาได้รับเป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง เมื่อ พ.ศ.2511
           ที่ดินที่สร้างวัดมีจำนวน 20 ไร่ 2 งาน 54 ตารางวา ทิศเหนือจดที่ดินนายยั้ว คชวารี ทิศใต้จดถนนกรมทางเข้าตลาดท่าพุทรา ทิศตะวันออกจดแม่น้ำปิง ทิศตะวันตกจดคลองยาง
ปูชนียวัตถุที่สำคัญของวัด
1.พระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 2 เมตร สร้างด้วยปูน ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถหลังเก่า
2.รอยพระพุทธบาทจำลอง ประดิษฐานอยู่ภายในมณฑป
   
3.พระพุทธชินราชจำลอง หน้าตักกว้าง 50 นิ้วฟุต สร้างด้วยโลหะ คุณหมออินทร์ จันทภาษา เป็นผู้สร้าง ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถหลังใหม่
4.พระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 2.75 เมตร สร้างด้วยปูน ประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหาร มุมตะวันออกด้านใต้ของวัด
  
ถาวรวัตถุของวัด
1.พระอุโบสถหลังเก่า ยาว 11.45 เมตร กว้าง 5.65 เมตร หลังคามุงกระเบื้องปูน
2.พระอุโบสถหลังใหม่ ยาว 22.22 เมตร กว้าง 9.00 เมตร หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ
  
3.พระวิหาร 1 หลัง ยาว 11.75 เมตรา กว้าง 8.10 เมตร หลังคามุงสังกะสีแดง
4.ศาลาการเปรียญ 1 หลัง เสาปูนพื้นไม้ ยาว 26 เมตร กว้าง 16 เมตร หลังคามุงกระเบื้องลูกฟูก
  
5.หอสวดมนต์ 1 หลัง สองชั้นยาว 13.29 เมตร กว้าง 16 เมตร หลังคามุงกระเบื้องลูกฟูก
6.โรงเรียนปริยัติธรรม 1 หลัง สร้างด้วยไม้ชั้นเดียว ยาว 24 เมตร กว้าง 11.70 เมตร หลังคามุงสังกะสี ปัจจุบันใช้เป็นสนามสอบธรรม สนามหลวงทุกปี ฯลฯ และยังมีสิ่งก่อสร้างอื่น อีกหลายรายการ
          วัดคฤหบดีสงฆ์ เป็นวัดที่อยู่คู่บ้านท่าพุทรามานาน และมีเหรียญและพระ ที่มีผู้ที่เคารพนับถือและมีชื่อเสียงมาก คือ “หลวงพ่อปลอดภัย”
วัดจันทาราม (Wat Chantharam)
  
  
ตั้งอยู่ที่ 1 บ้านวังแขม หมู่ที่ 1 ตำบลวังแขม อำเภอคลองขลุง สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่ 17 ไร่ 83 ตารางวา อยู่ริมแม่น้ำปิงทางด้านทิศตะวันออก สร้างขึ้นเป็นวัดมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2225 เคยเป็นวัดที่ร้างมาเป็นเวลานาน และ ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ ชาวบ้านในแทบนั้นมักนิยมเรียกชื่อวัดตามชื่อของหมู่บ้านว่า  “วัดวังแขม” และ ต่อมาได้รับการพัฒนาเป็นหลักฐานมั่นคงเริ่มมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2420 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ได้เคยเสด็จประพาททางชลมารค และทรงแวะประทับพักแรมที่ปะรำพิธีที่หาดทรายหน้าวัดนี้ด้วย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 วัดจันทาราม จึงได้รับการพัฒนาเรื่อย ๆ มา จนได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2523
  
            วัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปที่สาคัญคือ หลวงพ่อศรีมงคล พระประธานในอุโบสถหลังเก่า “ปางมารวิชัย” เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนเป็นอย่างมาก และตามที่ นายร่อน มีชัย อายุ  81 ปี  ได้เล่าว่า วิหารที่หลวงพ่อศรีมงคล ประดิษฐานอยู่ในปัจจุบันนี้ สันนิฐานว่าชาวพม่าเป็นผู้สร้างขึ้น เพราะว่าวิหารหลวงพ่อศรีมงคลได้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก เป็นทิศของประเทศของพม่า และไม่ทราบว่าสร้างในปีใดและพ.ศ.ใด ทราบแต่ว่าเป็นวิหารที่เก่าแก่มาก ตามที่คนเก่าแก่เล่ามา เป็นเวลานับหลายร้อยปี(จากการสอบถามเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ผู้มาบูรณปฏิสังขรณ์ทราบว่า สร้างสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราวรัชกาลที่2-3)
  
              ส่วนรอยพระพุทธบาทจำลองที่เป็นเนื้อโลหะ ประดิษฐานอยู่ในวิหารหลวงพ่อศรีมงคล ไม่มีใครทราบที่แน่ชัดว่าได้มาอย่างไร และตั้งแต่เมื่อปีใด และ พ.ศ.ใด จากการสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ เช่น ลุงร่อน มีชัยและลุงเหรียญ นาคนาม ที่เป็นบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงกับวัด มาโดยตลอด บอกว่าตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียน อยู่โรงเรียนวัดก็ได้เห็นรอยพระพุทธบาทมีอยู่ในวิหารหลวงพ่อศรีมงคลแล้ว ต่อจากนั้นลุงเหรียญยังบอก รอยพระพุทธบาทจำลอง อีกว่ามีตัวอักษรอยู่ที่ใบสีมาวิหารหลวงพ่อศรีมงคล และเป็นตัวเลข ว่า ร.ศ.120 (เป็นรัตนโกสินทร์ศักราช ถ้าเราต้องการแปลงเป็นพุทธศักราช ให้ใช้ 2324 บวก ร.ศ. จะได้เป็นปีพุทธศักราช) เมื่อทางวัดมีงานเทศกาล ใดๆ เช่น งานประจำปีปิดทองไหว้พระ ก็จะยกรอยพระพุทธบาทจำลองออกมาให้ชาวบ้านได้ปิดทองรอยพระพุทธบาทกันเป็นประจำ ต่อมาทางคณะกรรมการวัด ก็จะนำออกมาให้ชาวบ้านได้ปิดทองกันในวันงานเป็นประจำทุกปีจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ในตอนนี้ฝาที่สาหรับปิด-เปิดไว้ใส่ปัจจัย ได้ถูกพวกมิจฉาชีพลักไปเสียแล้ว ทางวัดก็ไม่ทราบว่าถูกลักไปตั้งแต่เมื่อไรเช่นกัน สำหรับในตอนนี้พระที่วัดได้ช่วยกันเอาไปเก็บไว้ที่อุโบสถหลังใหม่(ราว พ.ศ.2538 ได้ไปสำรวจวัดจันทาราม พบพระวิหารหลวงพ่อศรีมงคล และรอยพระพุทธบาทอยู่สภาพทิ้งร้าง เพราะพระวิหารชำรุด
ศาลเจ้าแม่ทองฮูก (San Chao Mae Tong Who)
ตั้งอยู่ที่ตำบลวังแขม อำเภอคลองขลุง เป็นศาลเจ้าที่อยู่คู่บ้านบึงลาดมานาน เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป
บริเวณริมปิง (Side Ping)
  
  
ช่วงบริเวณ ม.5 และ ม.4 มีบริเวณริมฝั่งที่สวยงาม โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ จะมีหาดทรายสำหรับเล่นน้ำ อีกทั้งบริเวณริมฝั่ง ม.4 จะมีปลาธรรมชาติ มาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นบริเวณที่แม่น้ำปิงไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำสองสี

อำเภอขาณุวรลักษบุรี

วัดสว่างอารมณ์ (Wat Sawang Arom)
  
  
ตั้งอยู่ที 217/1 หมู่ที่ 2 ตำบลแสนตอ อำเภอขาณุวรลักษบุรี นมัสการหลวงพ่อโตวัดสว่างอารมณ์ เป็นพระพุทธรูปปางสะดุ้งมาร มีเกศเป็นเปลวเพลิง หน้าตักกว้าง 4 ศอก ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวอำเภอขาณุวรลักษบุรี โทร. 055-725169, 055-779020
วัดอุดมศรัทธาราม (Wat Udom Sattharam)
  
ตั้งอยู่ที่ หมู่ 1 ตำบลป่าพุทรา ขาณุวรลักษบุรี นมัสการหลวงพ่อเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปทองคำ ปางสะดุ้งมาร มีฐานเป็นบัวเม็ด มีเกศเป็นก้นหอย หน้าตักกว้างประมาณ 29 นิ้ว สูงประมาณ 39 นิ้ว จะจัดในช่วงเดือนธันวาคม หรือ มกราคมของทุกปี
วัดสลกบาตร (Wat Salok Bat)
  
  
หมู่ที่ 3 ทางแยกติดถนนพหลโยธิน ตำบลสลกบาตร อำเภอขาณุวรลักษบุรี อยู่ใกล้ๆด่านตำรวจ (4แยกสลกบาตร)

อำเภอคลองลาน


ศูนย์หัตถกรรมชาวเขาคลองลาน (Khlong Lan Hilltribe Handicraft Center)
  
ตั้งอยู่หมู่บ้านบ้านคลองลาน ตำบลคลองลานพัฒนา บริเวณปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกคลองลานห่างจากตัวจังหวัดกำแพงเพชร 55 กิโลเมตร ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวเขาเผ่าต่างๆ อันได้แก่เผ่าม้ง เย้า ลีซอ มูเซอและกะเหรี่ยง ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตอำเภอคลองลานและอำเภอขลุง มีรายได้และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นตลอดจนเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวสู่แหล่งท่องเที่ยวในเขตอำเภอคลองลาน โดยนำสินค้าของที่ระลึกและผลิตภัณฑ์ของแต่ละเผ่ามาจำหน่ายเช่น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชาวเขา เครื่องประดับประเภทต่างๆ ที่ทำจากเงิน มีการสาธิตการทำเครื่องประดับจากเงินให้นักท่องเที่ยวได้ชมด้วยศูนย์นี้อยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดกำแพงเพชร
ศูนย์วัฒนธรรมชาวเขา (Hill Tribes Cultural Center)
  
ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 1 ตำบลคลองลานพัฒนา อำเภอคลองลาน ห่างจากจังหวัดกำแพงเพชร 60 กม. เป็นแหล่งศูนย์กลางข้อมูลการท่องเที่ยวชาวเขา และรวบรวมวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวเขา จำนวน 6 เผ่า คือ ม้ง เย้า มูเซอ ลีซอ กะเหรี่ยง และลัวะ และมีบ้านพักไว้บริการให้กับนักท่องเที่ยว โดยได้จำลองบ้านของชาวเขาเข้าอยู่ในศูนย์วัฒนธรรมชาวเขาหมู่บ้าน ตลอดทั้งมีพื้นที่กางเต็นท์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จัดให้มีการแสดงของเยาวชนเผ่าม้ง เย้า และลีซอ ไว้ให้กับนักท่องเที่ยว ชมวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ และมีสินค้าหัตถกรรมผ้าปักเครื่องเงิน ของชาวเขาจำหน่าย เป็นของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว ผู้สนใจติดต่อได้ที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดกำแพงเพชร โทร. 055-786250 หรือ สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดกำแพงเพชร โทร. 055-711455
ศูนย์ส่งเสริมหัตถกรรมเครื่องเงินชาวเขา
(Hill Tribes Silver Handicraft Promotion Center)
  
ตั้งอยู่ที่หมู่ 9 บ้านคลองเตย เส้นทางคลองลาน - อุ้มผาง กม.ที่ 42 ศูนย์นี้จะจำหน่ายเครื่องเงินฝีมือชาวเขาเผ่าเย้า เช่น สร้อยคอ ต่างหู สร้อยข้อมือ กำไล แหวน หากสนใจจะชมวิธีการทำและซื้อเป็นของฝาก สามารถเลือกชมและซื้อได้ที่ ศูนย์ส่งเสริมหัตถกรรมฯ เปิดบริการทุกวัน เวลา 8.00 - 17.00 น.